AI, BI และระบบการทำงานอัตโนมัติสามารถเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงธุรกิจของคุณได้อย่างไร

เมื่อช่วงทศษววรตที่ผ่านมา นักวิเคราะห์อุสาหกรรมและนักเศษฐศาตร์ ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อที่จะเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของการทำธุรกิจที่กำลังจะเปลี่ยนไปเพราะเทคโนโลยี แต่เมื่อมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่จำเป็นจะต้องหันไปเปลี่ยนแปลงธุรกิจไปเป็นระบบดิจิทัลแทน

สำหรับศัพท์แสง (Jargon) ทางด้านเทคโนโลยีที่เราได้ยินกันมาตลอดเช่น Artificial Intelligence (AI) และวิทยาการหุ่นยนต์ ดูเหมือนเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่ในโลกอนาคต ที่เรามักจะเห็นอยู่ในหนังภาพยนตร์ของฮอลิวูด และยังเป็นเรื่องที่หลายๆคนยังมีความแคลงใจอยู่นั้น กลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในตอนนี้

World Economic Forum (WEF) ในรายงาน Future Jobs Report 2018 ได้ประมาณการไว้ว่า งานกว่า 133 ล้านตำแหน่งจะถูกเปิดขึ้นเพื่อที่จะเป็นการ “เตรียมตัวกับการแบ่งงานในแผนกต่างๆระหว่าง มนุษย์ เครื่องจักร และอัลกอริธึม”

อ้างอิงจากรายงานเดียวใน ในปี 2018 เฉลียแล้วกว่า 71% ของการทำงานทั้งหมดในอุสาหกรรมทั้ง 12 อุสาหกรรมนั้น – รวมถึงอุสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการผู้บริโภคและธุรกิจทางด้านการเงิน – ล้วนดำเนินการโดยมุนษย์ และ 27% นั้นถูกดำเนินการโดย เครื่องจักร อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2022 คาดว่า กว่า 57% ของชั่วโมงการทำงานนั้นจะถูกจัดการและทำงานด้วย เครื่องจักร นอกจากนี้แล้วรายงานนี้ยังคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงของการทำงานที่ “62% ของข้อมูลองค์กรและการวิเคราะห์ข้อมูล ค้นหาข้อมูล และการทำงานสำคัญจะถูกดำเนินงานโดยเครื่องจักร ซึ่งมากกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้กว่า 46%” นี้เป็นข้อมูลที่ยังคงต้องทำการวิเคราะห์เพิ่มเติมอีกครั้งเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่อาจจะไปเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลให้กับหลายองค์กร

เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่นำเสนอข่าวกรองธุรกิจ (BI) และระบบอัตโนมัติ อยู่ในแนวหน้าของการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ธุรกิจภาคอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ที่ควรจะเติบโตมาตลอด 10 ปีเกิดขึ้นในได้ในเวลาเพียง 90 วัน ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมค้าปลีกเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการติดต่อกับลูกค้าในทุกจุดสัมผัสมากขึ้น

การดำเนินงานในระบบกลยุทธ์ไซโลดั้งเดิม ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้การทำงานไม่มีความต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจพลาดการโอกาศการทำธุรกิจบนระบบดิจิทัลและ ทำให้ธุรกิจไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมการค้าปลีก กลยุทธ์ธุรกิจแบบหลายช่องทางกำลังกลายเป็นหนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า เมื่อผู้บริโภคเปลี่ยนจากแพลตฟอร์มหนึ่งไปยังอีกแพลตฟอร์มหนึ่ง ความรับผิดชอบจึงตกอยู่กับธุรกิจต่างๆ ที่ต้องนำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งที่สามารถปรับแต่งได้ให้กับลูกค้าของตัวเอง

นอกจากนี้แล้ว Dropshipper Oberlo ยังได้กล่าวไว้ในบทความล่าสุด ถึงการเติบโตที่สำคัญของ AI ในอุตสาหกรรมการค้าปลีก เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ เริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของลูกค้ากับการเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ระบบอัตโนมัติยังสามารถช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อส่งเสริมให้พนักงานของคุณมีสมาธิกับงานที่สำคัญอื่นๆ ได้ ระบบอัตโนมัติยังช่วยกำจัดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการป้อนข้อมูลด้วยตนเองของเหล่าพนักงานอีกด้วย

ในด้านกรณีศึกษาของ PwC เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลเชิงลึก 8 ประการเพื่อช่วยในการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ แสดงให้เห็นว่าธุรกิจมากกว่าครึ่งรายงานการเพิ่มผลิตภาพหลังจากนำ AI มาใช้ นอกจากนี้แล้ว รายงานยังระบุเพิ่มอีกว่าระบบอัตโนมัติที่เปิดใช้งาน AI ยังนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีขึ้น โดยผู้บริหารสองในสามกล่าวว่าช่วย “ปรับปรุงและเสริมสร้างการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร”

โซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียง BI และระบบอัตโนมัติเท่านั้น ความกว้างและการเข้าถึงของ AI นั้นทำให้ขอบเขตการทำงานของ AI อาจจะไม่มีที่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัทที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ลำดับความสำคัญคือการวางโครงสร้างหลักที่จะทำให้แน่ใจว่ามีรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับเทคโนโลยีในอนาคตที่สามารถผสานรวมเข้าด้วยกันได้

ด้านล่างนี้เราจะมาดูกันว่าธุรกิจที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจะได้รับประโยชน์จากการรวม AI เข้ากับกระบวนการดำเนินงานเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างไร

ปลดล็อกข้อมูลเชิงลึกและสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต

ในตลาดธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงซึ่งมักจะอยู่ในสภาวะที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่สามารถดึงข้อมูลสำคัญมาใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจมักจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบ

ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนระบบคลาวด์สมัยใหม่ (ERP) ช่วยรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ซึ่งช่วยให้นักวิเคราะห์ข้อมูลสามารถดึงข้อมูลสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจนำหน้าคู่แข่งได้

ปรับปรุงการบริการลูกค้า

บริการส่งข้อความอัตโนมัติ เช่น การใช้ “บอท” ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าและให้ข้อมูลล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทั้งหมดที่ลูกค้ากำลังมองหาได้อย่างง่ายดาย

บอทเหล่านี้ช่วยตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อปัญหาและมุ่งพัฒนาการให้บริการลูกค้า การวิจัยล่าสุดโดย Salesforce ในหัวข้อสถานะของลูกค้าที่เชื่อมต่อพบว่าเกือบ 1 ใน 4 ขององค์กรใช้แชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อจัดการบริการลูกค้า

เร่งบริการจัดส่งสำหรับธุรกิจ e-Commerce

ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการโลจิสติกส์บุคคลที่สาม (3PL) จัดการกับลูกค้าหลายรายโดยใช้ระบบที่แตกต่างกัน กระบวนการนี้จะทำให้ระบบซับซ้อนมากขึ้นเมื่อต้องมีการพิจารณาความคลาดเคลื่อนของข้อมูล

บางครั้งรายละเอียดลูกค้าที่สำคัญ เช่น ที่อยู่อาจหายไปจากใบสั่งจัดส่งบริการของผู้ค้า ที่นี่ การทำงานร่วมกันของกระบวนการอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ (RPA) และโซลูชันระบบอัตโนมัติขั้นสูงเพิ่มเติมช่วยตรวจจับความคลาดเคลื่อนทันทีและแจ้งเตือนผู้ค้าเกี่ยวกับข้อผิดพลาด สิ่งนี้ช่วยป้องกันความล่าช้าในการจัดส่งคำสั่งซื้อเนื่องจากผู้ค้าจะได้รับการแจ้งเตือนทันทีเพื่อตอบกลับ

ข้อมูลรวมสำหรับทีมการตลาดและการขาย

ผู้บริหารการตลาดสามารถใช้เครื่องมือข่าวกรองธุรกิจ (BI) เพื่อติดตามเมตริกแคมเปญจากระบบส่วนกลาง เครื่องมือ BI ช่วยให้เจ้าหน้าที่การตลาดสามารถติดตามแคมเปญแบบเรียลไทม์ และช่วยวัดประสิทธิภาพของความพยายามแต่ละอย่างเพื่อวางแผนสำหรับอนาคต

แดชบอร์ด BI ยังช่วยให้ทีมขายในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว เช่น การวิเคราะห์ส่วนลด การทำกำไรของลูกค้า มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า สิ่งนี้ช่วยให้ผู้บริหารฝ่ายขายสามารถติดตามเป้าหมายของพวกเขาได้

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ โปรดไปที่ บล๊อกเกี่ยวกับ AI ของเรา