เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กำลังกลายเป็นจุดศูนย์กลางของกลยุทธ์การกระจายของระบบซัพพลายเชนที่ขยับขึ้นไปเป็นระบบระดับโลกมากยิ่งขึ้น ในขณะที่บริษัทต่างๆทั่วโลกพยายามลดความเสี่ยงและลดการพึ่งพาระบบอื่นๆในการทำงาน ข้อได้เปรียบในการแข่งขันของภูมิภาคนี้คือทำเลที่เป็นเชิงกลยุทธ์ มีความสามารถในการผลิตที่สูง และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น กำลังทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและการกระจายสินค้าทางเลือกที่ต้องการ
ในด้านภาคการค้าส่งและค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นกำลังเติบโตอย่างน่าทึ่งที่ 7% ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดที่สำคัญเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนในปี 2022 ที่ 3.6% การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ทำให้มองเห็นถึงตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและพลวัตทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปของภูมิภาค
ในขณะเดียวกัน การส่งออกจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าจะเติบโตเกือบ 90% ภายในปี 2031 ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับการเติบโตของการส่งออกทั่วโลกถึงสามเท่า การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ตอกย้ำถึงความโดดเด่นที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาคในเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศและห่วงโซ่อุปทาน
จากนี้ เราจะมาทำความเข้าใจกับความท้าทายที่ผู้ทำธุรกิจจำหน่ายขายส่งในอาเซียนต้องเผชิญ:
ความท้าทายสำหรับผู้จำหน่ายขายส่งในอาเซียนที่มักพบเจอ
การจัดการสินค้าในคลัง
การติดตามจำนวนสินค้าในคลังของธุรกิจด้วยตนเองและการขาดระบบที่จัดเก็บข้อมูลที่เป็นศูนย์รวมทำให้การคาดการณ์ความต้องการไม่แม่นยำ เกิดการล้าช้าในการเติมสต็อก การจัดการระบบไม่สต็อกที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการมองเห็นสินค้าในคลังที่ไม่มีมาตรฐาน ส่งผลให้มีสต็อกมากเกินไปหรือขาดสต็อก
ระบบซัพพลายเชนและระบบการขนส่งที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ผู้จัดการกับระบบจำหน่ายขายส่งนั้นมีความจำเป็นจะต้องติดต่อกับทั้งซัพพลาายเออร์ ธุรกิจอื่นๆและลูกค้า ซึ่งแต่ละองค์กรจะใช้โซลูชั่นในการทำงานที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การออกใบแจ้งหนี้ การขาดการออกใบแจ้งหนี้ที่มีความเป็นมาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการทำงานเนื่องจากระบบประมาลผลใบเสร็จรับเงินที่มีความแตกต่างกัน
การขาดการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
ธุรกิจขายส่งนั้นมักจะประสบกับปัญหาในเรื่องการตัดสินใจที่ล่าช้าและไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เนื่องจากระบบนั้นขาดการมองเห็นทางด้านการเงินที่จำกัดและการคาดการณ์ความต้องการที่ไม่มีความแม่นยำ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดข้อมูลเชิงลึกของระบบที่จำเป็นจะต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ความท้าทายเหล่านี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อผลกำไรและการเติบโตขององค์กร
ความซับซ้อนของหลายช่องทางการขาย
ธุรกิจขายส่งจำนวนมากในอาเซียนนั้นกำลังจัดการกับการขายผ่านทั้งระบบการขายแบบ B2B และ B2C ผ่านช่องทางต่างๆ การดำเนอนการหลายช่องทางนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ไม่ได้ติดตั้งโซลูชันชั้นนำของอุตสาหกรรม เช่นระบบ Cloud ERP ทำให้การทำงานผ่านระบบต่างๆนั้นซับซ้อน
ระบบ Cloud ERP สำหรับผู้ธุรกิจขายส่งในอาเซียน ช่วยรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างไร
การจัดการสินค้าในคลังแบบเรียลไทม์
ระบบ Cloud ERP สำหรับธุรกิจขายส่งช่วยให้สามารถจัดการสินค้าในคลังได้ตามเวลาจริงโดยที่มอบการติดตามข้อมูลสินค้าและเติมสินค้าแบบอัตโนมัติ โดยอาศัยการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ผ่านระบบ ธุรกิจสามารถปรับข้อมูลสินค้าในคลังให้เหมาะสม ป้องกันเรื่องการเติมสต็อกสินค้ามากเกินไปหรือสินค้าหมดสต็อกโดยที่ไม่ทราบล่วงหน้า พร้อมทั้งช่วยในเรื่องการรับประกันการปฏิบัติตามคำสั่งซื้อให้ราบรื่นยิ่งขึ้น
การมองเห็นกระบวนการของระบบซัพพลายเชนแบบครบวงจร
โซลูชั่นระบบ Cloud ERP ช่วยให้ ระบบ Cloud ERP สำหรับธุรกิจขายส่งในอาเซียน สามารถมองเห็นระบบซัพพลายเชนได้อย่างครบถ้วน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องการจัดซื้อ การจัดการกับระบบของซัพพลายเออร์ และระบบการขนส่ง ส่งผลให้ระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยให้กระบวนการต่างๆเป็นไปอย่างรวดเร็ว และช่วยลดต้นทุน ทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น
การตัดสินใจทางด้านธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
ด้วยการคาดการณ์กับความต้องการที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI และเครื่องมือการวางแผนทางการเงินซึ่งช่วยปรับปรุงเรื่องกระแสทางการเงินสดของธุรกิจ โซลูชั่นระบบ Cloud ERP จะช่วยให้ธุรกิจตอบสนองต่อแนวโน้มของตลาดได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และผลักดันให้ธุรกิจตัดสินใจได้เร็วขึ้นด้วยแดชบอร์ดการรายงานแบบรวมศูนย์ที่ช่วยให้ตัดสินใจโดยขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
การบูรณาการระบบ Omnichannel ที่ราบรื่น
การบูรณาการระบบ Omnichannel นั้นสามารถทำให้ราบรื่นได้โดยระบบ Cloud ERP สำหรับธุรกิจขายส่ง ช่วยซิ้งค์ข้อมูลสินค้าในคลังบนแพลตฟอร์มค้าปลีก ระบบ e-commerce และ ระบบ B2B การประมาลผลคำสั่งซื้อแบบอัตโนมัติทำให้ดำเนินการได้เร็วขึ้น มีข้อผิดพลาดน้อยลง และประสบการณ์ของลูกค้าโดยรวมดีขึ้น
เหตุใด Oracle NetSuite จึงเป็นระบบ Cloud ERP ที่เหมาะสมกับธุรกิจขายส่งในอาเซียน
ธุรกิจขายส่งในอาเซียน สามารถใช้ประโยชน์จากโซลูชั่น Cloud ERP เพื่อให้สามารถเข้าถึงการดำเนินการทางธุรกิจได้ทุกเมื่อเนื่องจากมีระบบที่สามารถอัปเดตแบบเรียลไทม์ได้ตลอดเวลา
ระบบ Cloud ERP สำหรับธุรกิจขายส่งในอาเซียน ช่วยให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนการเติบโตได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้แล้ว การปรับแต่งและการบูรณาการระบบเข้ากับแพลตฟอร์ม e-commerce การล่วงรู้เรื่องของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงและผู้ให้บริการโลจิสติกส์บุคคลที่สามก็ทำได้อย่างง่ายดาย
ระบบ Cloud ERPที่ล้ำสมัยอย่าง NetSuite สามารถปรับกระบวนการจัดการสินค้าในคลังให้เปลี่ยนเป็นระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ และเพิ่มการมองเห็นระบบซัพพลายเชน ส่งผลให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้เร็วขึ้น
โดยสรุป
อุตสาหกรรมขายส่งในอาเซียนนั้นพร้อมที่จะเติบโต แต่ยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นและความท้าทายในการดำเนินงานซึ่งเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่โซลูชันที่มีประสิทธิภาพและปรับขนาดได้มากขึ้น ระบบ Cloud ERP มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ค้าส่งสามารถแก้ไขปัญหาสำคัญๆ เช่น การจัดการสินค้าในคลังที่ไม่เหมาะสมกับธุรกิจ ระบบซัพพลายเชนที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการตัดสินใจในการทำธุรกิจที่ล่าช้า
ด้วยการทำให้การดำเนินงานที่เป็นศูนย์รวม การทำให้กระบวนการการทำงานเป็นอัตโนมัติ และการให้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ธุรกิจขายส่งสามารถปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า และก้าวล้ำหน้าในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ด้วยระบบที่มีความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับขนาด และความสามารถในการผสานรวมของโซลูชันต่างๆเข้าด้วยกัน เช่นระบบของ NetSuite ธุรกิจขายส่งสามารถเอาชนะอุปสรรคในการเติบโต ปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลซึ่งจะขับเคลื่อนความสำเร็จในระยะยาว การนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้ด้วยโซลูชั่น Cloud ERP นั้นกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตในภูมิทัศน์การค้าส่งที่มีการแข่งขันสูงในอาเซียน