การนำทางการเปลี่ยนแปลงของ AI: สามปัจจัยหลักสู่หนทางแห่งความสำเร็จ
การตัดสินใจในการลงทุนต่างๆของแต่ละองค์กรในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลนั้น คาดการว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2026 แม้ว่าความพยายามเหล่านี้จะรวมถึงการเปลี่ยนระบบการทำงานต่างๆมาใช้งานโซลูชั่นเทคโนโลยีบนระบบคลาวด์ แต่ทว่า อีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อช่วงไม่กี่เดือนมานี้คือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่รู้จักกันทั่วๆไปว่า AI ความสนใจเหล่านี้นั้นได้รับผลกระทบมาจากการมาถึงของระบบ ChatBot ที่ได้รับการขับเคลื่อนโดยระบบ Generative AI
การที่หลายๆบริษัทรู้สึกตกตะลึงและได้รับข้อมูลล้นหลามจะเสียงพูดคุยเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆนั้นเป็นเรื่องปกติและเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย บริษัทใหญ่นั้นมักจะเป็นกลุ่มแรกๆที่เริ่มนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในการทำงาน โดยที่กว่า 89% นั้นได้รายงานว่าองค์กรของพวกเขานั้นกำลังดำเนินงานการเปลี่ยนแปลงระบบทำงานเดิมสู่ระบบดิจิทัลและรบการทำงาน AI อย่างไรก็ตาม มีเพียงแค่ 31% เท่านั้นที่ตระหนักถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนระบบเดิมสู่ระบบอัตโนมัติ ในขณะที่มีเพียง 25% เท่านั้นที่สามารถประหยัดต้นทุนจากระบบการทำงานที่พวกเขาใช้อยู่ได้
เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากไดรฟ์อัตโนมัตินั้น ธุรกิจต่างๆ จำเป็นจะต้องมุ่งเน้นการทำงานไปที่การระบุสิ่งที่พวกเขาต้องการเพื่อช่วยให้ทำธุรกิจได้อย่างราบรื่นโดยการที่ทำให้ระบบธุรกิจทั้งหมดเป็นอัตโนมัติ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดหรือการดำเนินการอย่างไร เราจะมาทำความเข้าใจกับกระบวนการทั้งหมดภายในบทความนี้ เราจะตรวจสอบว่าองค์กรต่างๆ สามารถนำระบบอัตโนมัติไปใช้ภายในองค์กรได้อย่างถูกต้องและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดจากระบบได้อย่างไร
การปรับขนาด: เปลี่ยนให้ทุกองค์กรกลายเป็นองค์กรเทคโนโลยี
ในภูมิทัศน์ธุรกิจสมัยใหม่นั้นทำให้องค์กรจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองในการทำธุรกิจ โดยพื้นฐานของธุรกิจแล้ว ทุกๆแผนกภายในบริษัทนั้นจะมีระบบเทคโนโลยีตามกระบวนการทำาน สิ่งที่จึงเป็นเรื่องที่องค์กรหลายๆองค์กรจำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนคติและยอมรับความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมของการดำเนินงานในฐานะบริษัทที่ “ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเป็นอันดับแรก”
ในหนังสือ “Rewired: The McKinsey Guide to Outcompeting in the Age of Digital and AI” ผู้เขียนได้เขียนสนับสนุนเกี่ยวกับโมเดลที่เรียกว่า “Disturbted digital innovation” ซึ่งนับว่าเป็นแก่นแท้ของแนวคิดที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมที่องค์กรใช้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการช่วยของฝ่ายไอทีเพื่อจัดการกับระบบภายในองค์กร รวมไปถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปรับขนาดองค์กรและการกระจายอำนาจ โดยการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ทั่วทั้งบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร
“องค์กรของคุณอาจเริ่มต้นด้วยทีมจำนวนหนึ่งที่เป็นทีมพัฒนาโซลูชั่นด้านเทคโนโลยี แอปพลิเคชั่น หรือ รุ่นระบบการทำงานของพวกเขา จะแสดงสามารถแสดงประสิทธิภาพบางอย่าง แต่ส่วนอื่นๆของบริษัทนั้นไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงตามระบบอื่นๆไปด้วย เมื่อองค์กรเข้าสู่สถานะที่จำเป็นจะต้องมีการเชื่อมต่อระหว่างระบบมากขึ้น ทีมที่เคยเป็นทีมเล็กๆนั้นจะเพิ่มจำนวนไป 100 เท่าและทำให้การทำงานในส่วนต่างๆ ขององค์กรเช่นการขาย ระบบซัพพลายเชน ระบบการผลิต การวิจัยและการพัฒนาระบบ ทำให้พวกเขาสามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา ณ จุดนั้นไม่มีใครจำเป็นจะต้องเรียกฝ่ายไอทีเพื่อทำการพัฒนาโซลูชั่นเลย เพราะในแต่ละการทำงานของแต่ละแผนกนั้นสามารถพัฒนาไปสู่ฟังก์ชั่นแบบที่สามารถกระจายความสามารถด้านเทคโนโลยีให้ทั่วถึงได้” Eric Lamarre หนึ่งในผู้เขียนหนังสือกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ McKinsey
พาร์ทเนอร์ด้านในเรื่องการดำเนินงาน: มองพวกเขาในฐานะผู้ทำงานร่วมกันในการเดินทางสู่ระบบ AI ของคุณ
ด้วยตัวขับเคลื่อนหลักของความเป็นเลิศในโครงการริเริ่มการเปลี่ยนแปลงระบบ AI ที่ประสบความสำเร็จ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพาร์ทเนอร์ในการใช้งงานที่องค์กรเลือก พาร์ทเนอร์ที่มีประสบการนั้นไม่เพียงแต่เข้าใจปัญหาขององค์กร แต่ยังสามารถกำหนดวิธีการรักษาระบบที่ถูกต้องและระบุช่องว่างสำหรับนวัตกรรมได้อีกด้วย
พาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจที่มีประสบการณ์และสามารถนำเสนอโซลูชั่นที่มีความหลากหลาย ให้ข้อมูลในเชิงลึกที่มีความสำคัญและปรับแต่งระบบให้เหมาะสมสำหรับความต้องการเฉพาะของแต่ละบริษัทได้ การเลือกพาร์ทเนอร์ที่สามารถรับมือกับความซับซ้อนของเทคโนโลยี AI และมีความสามารถที่จะปรับโซลูชั่นให้เข้ากับความท้าทายทางธุรกิจที่เฉพาะเจาะจงถือเป็นสิ่งสำคัญ
พาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจที่เหมาะสมนั้นควรทำหน้าที่มากกว่าเป็นเพียงแค่ผู้ขาย พวกเขาควรทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมในการทำงานในการเปลี่ยนแปลงด้าน AI โดยนำเสนอแนวทางการทำงานในเชิงกลยุทธ์และสามารถปรับแต่งได้เองตามความต้องการขององค์กรเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ที่องค์กรจะได้จากระบบ AI
ปัจจัยสำคัญในการเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมนั้นได้แก่ การให้คำปรึกษาจากประสบการณ์ที่พวกเขามีในการดำเนินการธุรกิจ การมีตัวตนในภูมิภาคหรือประเทศที่องค์กรตั้งอยู่และให้ความสำคัญกับการสนับสนุนหลักการขาย
การได้มาของบุคลากรที่มีความสามารถ: การเชื่อมช่องว่างระหว่างเทคโนโลยีและธุรกิจ
การที่องค์กรมีบุคคลากรที่เหมาะสมและสามารถทำงานได้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรได้นั้นถือว่าเป็นโชคที่ดีอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในตลาดนั้นมีบุคคลากรที่มีความสามารถในยุคดิจิทัลในปัจจุบันอยู่มากมาย และมีความรับผิดชอบเท่าเทียมกันในฐานะองค์กรและบุคคลากรในเรื่องการแสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องการ “ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี” ขององค์กรในทางปฏิบัติ
สภาพแวดล้อมการทำงานที่เสริมสร้างการเจริญเติบโตที่มาจากการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีในสมัยใหม่นั้นมีบทบาทสำคัญในการขายให้กับผู้ที่มีโอกาสเป็นพนักงานได้ ผู้มีความสามารถที่มีศักยภาพที่คุณกำลังจ้าง ต้องการให้คุณใช้เงินอย่างเต็มที่ และแสดงความมุ่งมั่นในการก้าวไปสู่การเติบโตด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่จุดสูงสุดของอุตสาหกรรมของคุณ
ความรับผิดชอบในด้านธุรกิจนั้นยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำด้านธุรกิจและการเข้าใจถึงความซับซ้อนภายในองค์กรและคำนึงว่าระบบเทคโนโลยีใหม่ๆนั้นจะสามารถช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจตามความเป็นจริงได้อย่างไร การผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเข้ากับความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางธุรกิจ ทำให้มั่นใจได้ว่าโซลูชั่น AI นั้นจะช่วยให้การดำเนินการธุรกิจโดยการนำเข้ามาใช้ในกระบวนการทำงานและยังสอดคล้องกับเป้าหมายโดยรวมของบริษัทอีกด้วย องค์กรต่างๆจะต้องลงทุนในการจัดหาและฝึกฝนบุคลากรที่มีความสามารถ เพื่อทำงานกับระบบ AI เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จได้
ยกระดับเส้นทางการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบ AI ของคุณ
ท่ามกลางตัวเลือกระบบซอฟต์แวร์มากมายและตัวเลือกของผู้ให้บริการโซลูชั่น หรือ SaaS สิ่งที่สำคัญคือธุรกิจนั้นต้องทำงานร่วมกับที่ปรึกษาเพื่อเลือกแพลตฟอร์มการทำงานที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มต้นการใช้งานของระบบอัตโนมัติขององค์กร ตามที่เราได้อธิบายไว้ข้างต้น แพลตฟอร์มที่องค์กรลือกไม่ควรมีความซับซ้อนมากเกินไปและสามารถใช้งานได้ง่ายสำหรับพนักงาน
ในเรื่องการทำงานนี้ Workato ถือว่าเป็นที่โดดเด่นอย่างมากในฐานะแพลตฟอร์มการรวมระบบที่เป็นผู้นำในด้านการให้บริการระบบ iPaaS ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการรวมสแต็กการทำงานขององค์กรและเปลี่ยนระบบเวิร์ดโฟลว์ของคุณให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ สิ่งที่ทำให้ Workato อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าคู่แข่งคือการทำงานบนโมเกลแบบ low-code / no-code (LCNC) ซึ่งหมายความว่าทุกคนภายในองค์กรสามารถเริ่มต้นการใช้งานระบบอัตโนมัติโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค
ด้วยการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชั่นกว่า 1,200 รายการ ทำให้ทีมของคุณสามารถเริ่มต้นระบบอัตโนมัติได้ทันที ปลดล็อกข้อมูลเชิงลึก และสร้างนวัตกรรมในขนาดตามที่องค์กรต้องการได้อย่างง่ายดาย Workato นั้นมีชื่อเสียงในด้านการให้บริการลูกค้าที่มีความโดดเด่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากความร่วมมือกับ PointStar Consulting ซึ่งเป็นที่ปรึกษาที่มีแผนกที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับความสำเร็จของลูกค้าโดยเฉพาะ
โดยสรุป
ในขณะที่องค์กรต่างๆ ตัดสินใจนำภูมิทัศน์ที่มีความซับซ้อนสูงของการเปลี่ยนแปลงผ่านการทำงานของระบบ AI และให้ความสำคัญกับความสามารถในการปรับขนาด ความสามารถของบุคลากร และการเลือกพาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นสามกลุ่มเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ
ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงผ่านระบบ AI ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้เท่านั้น แต่ยังเป็นการทำงานที่ขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันที่ครอบคลุมทั้งระบบการทำงานและทั่วถึงทั้งองค์กร ด้วยการตระหนักถึงบทบาทของทุกๆแผนกในฐานะผู้ให้การสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี การลงทุนในด้านบุคลากรที่มีความสามารถ และการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับที่ปรึกษา เช่น PointStar Consulting บริษัทต่างๆ จะสามารถเชื่อมช่องว่างระหว่างแรงบันดาลใจด้าน AI และผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เพื่อให้มั่นใจว่าการเดินทางของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจะราบรื่นและมีประสิทธิภาพ