อนาคตของการค้าปลีกเป็นอย่างไร?

อนาคตของร้านค้าที่มีสาขาตั้งอยู่แบบดั้งเดิมนั้นเป็นประะเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลายๆสำนักพิมพ์และคอลัมน์นับไม่ถ้วนได้เริ่มเขียนคอลลัมน์เกี่ยวกับหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นกับร้านค้าที่มีหน้าร้าน แม้ว่าการลดลงของพวกเขาจะค่อยเป็นค่อยไป แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้พิสูจน์แล้วว่ากลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบร้านค้าปลีกเหล่านี้

ยอดค้าปลีกทั้งหมดในสิงคโปร์ลดลงกว่า 52.1% เมื่อเทียบกับรายได้ในเดือนพฤษภาคม 2020 หลังจากที่มีมารตการล็อกดาวน์เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อของโควิด-19 การลดลงนี้ถือเป็นสถิติที่สูงชันที่สุดในประเทศเกาะนี้ นับตั้งแต่มีการบันทึกในปี 1986

อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มีการเติบโตด้วยความเชื่อมั่นและพร้อมที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลไม่เพียงแค่สามารถด้านผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อธุรกิจได้นั้น แต่ยังเติบโตท่ามกลางการแพร่ระบาดอีกด้วย ยอดขายออนไลน์ในเดือนมิถุนายน 2020 เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณเมื่อเทียบเป็นรายปี โดยเติบโตมากถึง 151.2%

จากการรีเสิร์ชที่ได้ทำร่วมกันเมื่อเร็วๆนี้โดยกลุ่มผู้รวบรวมกลุ่ม e-commerce iPrice Group ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิเคาระห์พฤติกรรมออนไลน์ของเว็บที่มีความคล้ายคลึงกันและแพลตฟอร์มการตลาดบนมือถือ AppsFlyer แสดงให้เห็นว่าบันทึกการเข้าชมเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ของสิงคโปร์นั้นมีการเพิ่มสูงขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบเป็นรายปี การศึกษายังระบุด้วยว่า “ผู้บริโภคชาวสิงคโปร์ใช้จ่ายเฉลี่ย 83.5 เหรียญสิงคโปร์ต่อคำสั่งซื้อในปี 2020 ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA)”

Ethan Hsu หัวหน้าฝ่ายค้าปลีกของ Knight Frank Singapore กล่าวในรายงานของ Business Times ว่าการระบาดใหญ่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแสดงตนทางออนไลน์สำหรับร้านค้าปลีก ความรู้สึกนี้สะท้อนโดย Joel Leong ผู้ร่วมก่อตั้ง ShopBack เว็บไซต์ที่ให้รางวัลอีคอมเมิร์ซ ซึ่งกล่าวว่า “ผู้ค้าปลีกจำเป็นต้องปรับปรุงกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง และยังคงปรับตัวได้และว่องไวในการคว้าโอกาส”

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดตามและสังเกตุการตลาดมักจะเตือนอย่างรวดเร็วว่าในขณะที่การปฏิวัติทางดิจิทัลกำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว การตัดทิ้งโอกาสของร้านค้าที่มีหน้าร้านนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เนื่องจาก คนรุ่น Gen Y และ Gen Z ซึ่งจะมีส่วนแบ่งของนักช้อปในอนาคต ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การช็อปปิ้ง พวกเขาอาจซื้อสินค้าในร้านค้าจริงก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบนแพลตฟอร์มที่สะดวกที่สุดสำหรับพวกเขา

Sulian Tan-Wijaya ผู้อำนวยการบริหารของ Savills Singapore และหัวหน้าฝ่ายค้าปลีกและไลฟ์สไตล์ ในการสัมภาษณ์ล่าสุดกับ Business Times กล่าวว่า “(นักช้อป Gen Y และ Z) เป็นกลุ่มคนที่มีความฉลาดในการเลือกอย่างมาก และเป็นผู้ขับเคลื่อนเทรนด์การค้าปลีก ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่นิยม พวกเขาจะจับจ่ายซื้อของแบบออฟไลน์อย่างมีความสุขและยอมต่อคิวเพื่อใช้จ่ายหลายพันดอลลาร์เพื่อรับประสบการณ์ที่เหมาะสมและเรื่องราวของแบรนด์”

แนวทางนี้เกี่ยวข้องกับข้อเสนอที่มีความผสมผสานของร้านค้าปลีก ทั้งหน้าร้านและบนร้านออนไลน์ ซึ่งรู้จักกันในชื่อกลยุทธ์ Omnichannel ซึ่งการเพิ่มขึ้นของกลยุทธ์นี้ช่วยให้ ธุรกิจมีบทบาทในตลาดมากยิ่งขึ้น ในบางกรณีที่บางบริษัทนั้นได้ทำการอุทิศตนเป็นพิเศษเพื่อทำการดูแลในเรื่องธุรกิจด้านนี้เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจจะประสบความสำเร็จ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Walmart ที่ประกาศแต่งตั้ง Chief Omni Strategy Officer เมื่อไม่นานมานี้

เนื่องจากกลยุทธ์การค้าปลีกแบบหลายช่องทางเป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการช็อปปิ้งที่ทำผ่านหลายช่องทางและผ่านการผสมผสานของแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ความรับผิดชอบของการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการช็อปปิ้งให้กับลูกค้าจึงตกอยูที่ธุรกิจที่จะทำให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ราบรื่น ด้านล่างเราจะพิจารณาว่าธุรกิจสามารถใช้กลยุทธ์การค้าปลีกแบบหลายช่องทางที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

รากฐานการดำเนินงานและเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง

ความสำเร็จของของกลยุทธ์การค้าปลีกแบบ Omnichannel นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ธุรกิจตัดสินใจลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่มีความสำคัญ ระบบ Back-end ที่มีประสิทธิภาพที่จะสามารถระบุจุดบกพร่องทั้งหมดในการส่งมอบบริการและผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้านั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนคลาวด์ (ERP) ในยุคสมัยใหม่เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel และทำให้ระบบมีความแข็งแกร่งมายิ่งขึ้น ความสามารถของระบบ ERP บนคลาวด์ในการรวมข้อมูลจากหลายแหล่งที่แตกต่างกันมารวมไว้ที่ฐานข้อมูลกลาง นอกจากนี้แล้วยังสามารถช่วยให้ธุรกิจมีมุมมองแบบ 360 องศาที่ครบวงจรสำหรับธุรกิจ Omnichannel

มุมมองตามเวลาจริงของกระบวนการทางธุรกิจที่สำคัญ

กุญแจสำคัญในการทำกลยุทธ์การค้าปลีกที่จำช่วยให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้านั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการก้าวสู่ระบบดิจิทัลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความสามารถของธุรกิจในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว Gunjan Soni ซีอีโอของ Zalora เตือนธุรกิจต่างๆ ว่า “เราไม่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือการทำให้แน่ใจว่าเราสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วที่สุด”

นอกเหนือขากการนำเสนอมุมมองธุรกิจแบบ 360 องศาแล้ว สิ่งที่ทำให้ระบบ Cloud ERP นั้นโดดเด่นกว่าโซลูชั่นอื่นคือข้อมูลทุกอย่างที่นำเสนอให้คุณนั้นเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ ซึ่งหมายความว่าธุรกิจต่างๆนั้นจะได้รับข้อมูลที่แน่นอน ช่วยห้สามารถเร่งการส่งมอบบริการและผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าได้อย่างทันท่วงที

ระบบธุรกิจอัจฉริยะ

หนึ่งในข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลคือการมีเครื่องมือวิเคราะห์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมใช้งาน พฤติกรรมของผู้บริโภคนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละช่องทาง และเป็นหน้าที่ของธุรกิจที่จะต้องทำความเข้าใจกับข้อมูลที่มีอยู่มากมายเพื่อนำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวสูง

การวิเคราะห์เป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญของระบบ Cloud ERP ด้วยการรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และแบบเรียลไทม์ ระบบ ERP บนคลาวด์จึงมีเครื่องมือคาดการณ์ที่ช่วยให้ธุรกิจปลดล็อกข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ ได้

บทสรุป

เบนจามิน แฟรงคลิน เคยกล่าวไว้ว่าความตายและภาษีเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นความแน่นอนในชีวิตเท่านั้น แล้วเขารู้อะไรไหม? ตอนนี้คุณสามารถเพิ่มตลาดธุรกิจที่พลิกโฉมลงในรายการที่เป็นสิ่งแน่นอนในชีวิตได้แล้ว เทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางธุรกิจอย่างรวดเร็วจนเป็นเรื่องไม่ดีที่จะคาดการณ์ว่าการค้าปลีกจะมีลักษณะอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า

แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ หากคุณเป็นธุรกิจที่เต็มใจที่จะก้าวไปบนยอดคลื่นดิจิทัลและลงทุนในเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม คุณวางใจได้เลยว่าคุณกำลังเตรียมธุรกิจของคุณด้วยความสามารถที่ว่องไวและตอบสนองได้เร็วที่สุด ก้าวอย่างรวดเร็วที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตลาด